วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ยินดีต้อนรับเข้าสู่ FreedomZone หัวข้อ :เคล็ดลับเพื่อถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์

เคล็ดลับเพื่อถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์

ปัจจุบันอาการทางสายตาที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์มีเพิ่มขึ้น จากสถิติพบว่า ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมากกว่า 50% มีอาการปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า และปวดศีรษะ รวมทั้งมีอาการอื่นๆ เช่น ปวดเหมื่อยคอและหลัง ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน และยังมีตัวแปรอีกหลายประการที่ทำร้ายสายตาของเรา เช่น ชนิดของจอคอมพิวเตอร์ แสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ ความสว่างของห้อง ท่านั่ง ฯลฯ


เคล็ดลับเพื่อถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์

1. กะพริบตาให้ถี่ขึ้นอาการตาแห้ง เกิดจากการที่เรากะพริบตาน้อยลง เนื่องจากมีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตราการกะพริบตาจะลดลงจาก 20 - 22 ครั้งต่อนาที เหลือเพียง 6 - 8 ครั้งต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้ง ควรจะกะพริบตาให้ถี่ขึ้น หรืออาจใช้น้ำตาเทียมหยอดตา เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น



2. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม ให้บริเวณหน้าต่างอยู่ทางด้านข้างของจอคอมพิวเตอร์ เพื่อลดแสงตกสะท้อนบนหน้าจอ ควรจัดให้มีระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเราประมาณ 50 - 70 ซ.ม. จัดระดับจอภาพจากจุดศูนย์กลางของจอคอมพิวเตอร์ ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4 - 9 นิ้ว ไม่ควรให้จอภาพอยู่สูงหรือต่ำเกินไป



3. ปรับความสว่างของห้องควรปิดไฟบางดวงที่ทำการรบกวนการทำงาน เพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความสว่างที่มากเกินไป ถ้ามีแสงจ้าจากหน้าต่าง ควรใช้มูลี่เพื่อปรับแสงให้ผ่านได้เพียงบางส่วน และไม่เข้าตาโดยตรง หลีกเลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีผิวสะท้อน เช่น โต๊ะสีขาว ควรใช้วัสดุที่มีผิวด้าน ที่สะท้อนแสงไม่มากจะดีกว่า



4. เลือกใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่ เวลาพิมพ์งาน ควรเลือกใช้ขนาดของตัวอักษรที่ใหญ่พอ และปรับความเข้มของตัวอักษรให้มากขึ้น ซึ่งขนาดตัวอักษรและความเข้มที่เหมาะสมจะสังเกตได้จากการที่เราอ่านตัวอักษรได้ในระยะห่างเป็น 3 เท่าของระยะที่นั่งทำงาน หรือเลือกใช้จอคอมพวิเตอร์ชนิด LCD (จอแบน) ซึ่งจะช่วยถนอนสายตาได้ดีกว่าจอแบบเก่า (CRT)



5. เลือกใช้แว่นที่เหมาะสมกับการใช้คอมพิวเตอร์ ควรเลือกใช้เลนส์สีเขียวอ่อน ที่ช่วยให้สบายตาภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ และเพื่อลดแสงสะท้อนจากจอภาพ โดยเลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายสำหรับระยะ 50 - 70 ซ.ม. (ระยะกลาง) ซึ่งค่ากำลังของเลนส์ดังกล่าวจะแตกต่างจากเลนส์อ่านหนังสือ หรือเลนส์มองใกล้ทั่วไป


6. พักสายตา ทุกๆ ชั่วโมง ควรเปลี่ยนอิริยาบถ หรือลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายบ้าง เพื่อพักสายตาและป้องกันอาการปวดเมื่อยจากการใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน
http://board.agalico.com/showthread.php?t=26297
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ FreedomZone หัวข้อ :เคล็ดไม่ลับ 12 ข้อ จากแพทย์จีน - น่าจะมีประโยชน์

เคล็ดไม่ลับ 12 ข้อ จากแพทย์จีน - น่าจะมีประโยชน์



เคล็ดไม่ลับ 12 ข้อ จากแพทย์จีน - น่าจะมีประโยชน์


1. หวีผมบ่อยๆ: หวีผมเบาๆ บ่อยหน่อยช่วยให้ตาสว่าง และรากผมแข็งแรง (ใช้หวีซี่ห่างหน่อย แปรงเบาหน่อย เพื่อกันผมหลุด)

2. ถูใบหน้าบ่อยๆ: ล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ให้สะอาดก่อน หลังจากนั้นใช้ฝ่ามือ 2 ข้างถู หน้าเบาๆ บ่อยหน่อยเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ใบหน้าเปล่งปลั่ง

3. เคลื่อนไหวดวงตาบ่อยๆ: ให้มองไกล-มองใกล้ มองข้างนอก-ข้างใน มองบน-มองล่าง หลีกเลี่ยงการมอง หรือจ้อง อะไรนานๆ โดยเฉพาะคนที่ทำงานคอมพิวเตอร์ควรพักสายตาด้วยการมองไกลอย่างน้อยทุกชั่วโมง

4. กระตุ้นใบหูบ่อยๆ: การดึงหู ดีดหู บีบหู ถูใบหูเบาๆ บ่อยหน่อย ช่วยบำรุงตานเถียน(จุดฝังเข็ม) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เก็บพลังงานของร่างกาย (ใต้สะดือ) สัมพันธ์กับไต ซึ่งเปิดทวารที่หู ทำให้แรงดี ป้องกันเสียงดังในหู หูตึง และอาการเวียนหัว

5. ขบฟันบ่อยๆ: ขบฟันเบาๆ บ่อยหน่อย(ไม่ใช่ขบแรงดังกรอดๆ) ช่วยให้ฟันแข็งแรง และกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย

6. ใช้ลิ้นดุนเพดานปากบ่อยๆ: การใช้ปลายลิ้น กระตุ้นเพดานบนด้านหน้าเป็นการกระตุ้นจุดฝังเข็ม เพื่อเชื่อมพลัง ลมปราณตู๋และเยิ่น ซึ่งเป็นเส้นควบคุมแนวกลางลำตัวส่วนหลัง และส่วนหน้าร่างกาย ทำให้เกิดการกระตุ้นการหลั่งสารน้ำ และน้ำลาย

7. กลืนน้ำลายบ่อยๆ: การกลืนน้ำลายบ่อยๆ ช่วยกระตุ้นพลังบริเวณคอหอย และกระตุ้นการย่อยอาหาร

8. หมั่นขับของเสีย: หมั่นขับของเสีย โดยเฉพาะดื่มน้ำให้พอ กินอาหารที่มีเส้นใย ออกกำลัง เพื่อ ป้องกันท้องผูก เมื่อปวดปัสสาวะหรืออุจจาระให้ถ่ายทันที อย่ารอโดยไม่จำเป็น การทิ้งของเสียไว้ในร่างกายนานเกินทำให้เกิดสารพิษ และการดูดซึมสารพิษ ( กลับเข้าสู่ร่างกาย) มากขึ้น ทำให้ป่วยง่าย

9. ถูหรือนวดท้องบ่อยๆ: ให้นวดท้องตามเข็มนาฬิกาเบาๆ เพื่อช่วยให้การขับถ่ายของเสียดีขึ้น

10. ขมิบก้นบ่อยๆ: การขมิบก้นบ่อยๆ ช่วยป้องกันริดสีดวงทวาร และท้องผูก

11. เคลื่อนไหวทุกข้อ: การอยู่นิ่งๆ หรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป ทำให้เกิดโรคได้ง่าย ควรเคลื่อน ไหวข้อต่างๆ ให้ครบทุกข้อทุกวัน ฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อและข้อให้สมดุล เช่น การฝึกชี่กง ไท ้เก้ก โยคะ ฯลฯ

12. ถูผิวหนังบ่อยๆ: ใช้ฝ่ามือถูตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย คล้ายกับการถูตัวเวลาอาบน้ำ มีส่วนช่วยให้ เลือดและพลังไหลเวียนดี

เรียนเชิญท่านผู้อ่านลองนำไปปฏิบัติดู เพื่อสุขภาพ พลัง และลมปราณที่ดีไป นานๆ ครับ...



http://variety.teenee.com/foodforbrain/15094.html
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ FreedomZone หัวข้อ :ใยอาหารคืออะไร

ใยอาหารคืออะไร



ใยอาหารเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างของพืช ได้แก่ ผัก ผลไม้ เมล็ดธัญพืช ถั่วต่างๆ จัดอยู่ในประเภทคาร์โบไฮเดรตที่มีโครงสร้างซับซ้อนและมีความหลากหลายทางกายภาพที่ไม่สามารถย่อยได้โดยระบบย่อยอาหารของมนุษย์ ในอดีตได้มีการศึกษาถึงประโยชน์ของใยอาหารต่อระบบขับถ่าย ช่วยเพิ่มกากอาหาร ทำให้ขับถ่ายได้ดี แต่ในการศึกษาในปัจจุบันพบว่าคนที่รับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูงสามารถลด ความเสี่ยงในการเกิดโรคบางอย่างได้อีกด้วย ได้แก่ โรคมะเร็งลำไส้ โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจ และโรคที่ก่อให้เกิดความผิดปรกติของทางเดินอาหารต่างๆ เช่น ท้องผูก ริดสีดวงทวาร ลำไส้โป่งพอง และมะเร็งลำไส้ใหญ่ จึงได้มีความพยายามที่จะใช้ประโยชน์จากใยอาหารในการป้องกันโรค หรือควบคุมโรคที่มีอยู่ให้รุนแรงน้อยลง

มีการศึกษาพบว่าใยอาหารมีโครงสร้างและคุณสมบัติทางกายภาพที่แตกต่างกันอย่างมาก และมีความหลากหลาย โดยมากใยอาหารมักมีโครงสร้างเป็นเส้นใย แต่ก็พบว่ามีใยอาหารบางชนิดที่ไม่ได้มีโครงสร้างเป็นเส้นใยแต่มีลักษณะเป็นเจลนิ่ม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสารคัดหลั่งของพืช ใยอาหารจึงไม่ได้หมายถึงแต่โครงสร้างของพืชที่เป็นเส้นใยเท่านั้น แต่หมายถึงส่วนประกอบธรรมชาติในอาหารที่ร่างกายย่อยไม่ได้ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากพืช ได้แก่ ธัญพืช เมล็ดพืช ผัก ผลไม้ และถั่วต่างๆ และเนื่องจากโครงสร้างและคุณสมบัติของใยอาหารที่มีความหลากหลายมากทำให้เรา อาจแบ่งประเภทของใยอาหารได้อีกเป็น 2 แบบ คือ ใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ จะมีลักษณะเป็นเจลเมื่อรวมกับน้ำ พบมากในอาหารประเภทธัญพืช ถั่วต่างๆ และใยอาหาชนิดละลายน้ำไม่ได้ และด้วยความหลายหลายทางโครงสร้างและคุณสมบัติทางกายภาพของใยอาหาร ทำให้ร่างกายสามารถนำใยอาหารไปใช้ประโยชน์ได้หลายวัตถุประสงค์อย่างไม่น่าเชื่อ ได้มีการศึกษามากมายเกี่ยวกับผลของการบริโภคใยอาหารกับสุขภาพที่ดี ได้แก่







ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน พบว่าใยอาหารสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้เนื่องจากใยอาหารชนิดละลายน้ำได้สามารถจับกับสารอาหารและชะลอการเคลื่อนที่ของสารอาหารจากกระเพาะอาหารไปสู่ลำไส้ ทำให้ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่เลือดได้

ในคนที่เป็นโรคอ้วน โดยปรกติอาหารที่มีใยอาหารสูงมักมีไขมันต่ำ ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานต่ำตามไปด้วย ใยอาหารสามารถดูดน้ำเข้าสู่กระเพาะอาหารได้มากขึ้นทำให้อิ่มเร็วขึ้น

ในคนที่เป็นโรคหัวใจหลอดเลือด ใยอาหารช่วยลดระดับไขมันที่ไม่ดี ได้แก่ไตรกลีเซอไรด์และคลอเลสเตอรอล โดยใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ ด้วยการจับกับคลอเลสเตอรอลทำให้ลดการดูดซึมได้ นอกจากนี้ยังพบว่าใยอาหารชนิดนี้จะจับตัวเป็นเจลกับน้ำดี (ที่เป็นตัวช่วยในการดูดซึมไขมันและคลอเลสเตอรอลให้กับร่างกาย) นอกจากนี้ยังมีการค้นพบว่าใยอาหารที่มีอยู่ในรำข้าว ที่เป็นใยอาหารชนิดละลายน้ำไม่ได้แต่ก็ยังมีความพิเศษในการช่วยลดระดับปริมาณคลอเลสเตอรอลได้เช่นกัน

ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้ จากการศึกษาพบว่าคนที่ทานอาหารทีมีใยอาหารต่ำทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิด โรคได้มากกว่าคนที่ทานอาหารที่มีใยอาหารสูง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะใยอาหารช่วยจับตัวกับสารก่อมะเร็งได้และเร่งการนำพาสาร นั้นออกจากสำไส้

ช่วยลดความผิดปรกติของระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ลดอาการท้องผูก และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคริดสีดวงทวาร โรคลำไส้โป่งพอง เนื่องจากใยอาหารเพิ่มการดูดซึมน้ำกับอาหารทำให้กากอาหารที่ย่อยไม่ได้มี ลักษณะนิ่มและขับถ่ายออกจากร่างกายโดยสะดวก





http://variety.teenee.com/foodforbrain/29660.html
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ FreedomZone หัวข้อ :เพื่อนดีดี ... มีกันกี่คน

เพื่อนดีดี ... มีกันกี่คน

ก - เ ก็ บ เ ร า ไ ว้ ใ น ใ จ

ข - เ ข้ า ใ จ เ ร า

ค - ค อ ย เ ป็ น กำ ลั ง ใ จ ใ ห้ เ ร า

ง - ง้ อ เ ร า เ มื่ อ รู้ ตั ว ว่ า เ ข า ผิ ด

จ - จั บ มื อ เ ร า เ มื่ อ ต้ อ ง ก า ร กำ ลั ง ใ จ

ฉ - เ ฉ ย กั บ ค ว า ม ใ จ ร้ อ น ข อ ง เ ร า

ช - ช่ ว ย เ ห ลื อ เ ร า

ซ - ซื่ อ สั ต ย์ กั บ เ ร า ญ า ติ ดี กั บ เ ร า เ ส ม อ

ด - เ ดิ น เ คี ย ง ข้ า ง เ ร า

ต - ติ ด ต า ม ข่ า ว ค ร า ว ค ว า ม เ ป็ น ไ ป ข อ ง เ ร า

ถ - ไ ถ่ ถ า ม ทุ ก ข์ สุ ข

ท - ทำ ใ ห้ ชี วิ ต ข อ ง เ ร า เ ป ลี่ ย น ไ ป

ธ - ธั ม ม ะ ธั ม โ ม กั บ เ ร า

น - นั บ ถื อ เ ร า แ ล ะ น่ า รั ก ใ น ส า ย ต า ข อ ง เ ร า

บ - บ อ ก ค ว า ม จ ริ ง แ ก่ เ ร า

ป - ป ล อ บ ใ จ เ มื่ อ เ ร า ท้ อ

ผ - ผ า ย มื อ ต้ อ น รั บ เ ร า เ ส ม อ

ฝ - ฝ า ก ค ว า ม จ ริ ง ใ จ ไ ว้ กั บ เ ร า

พ - เ พิ่ ม พ ลั ง ใ ห้ แ ก่ เ ร า

ฟ - ฟั ง เ ร า เ ส ม อ

ภ - ภู มิ ใ จ ใ น ตั ว เ ร า

ม - ม อ บ สิ่ ง ดี ดี แ ก่ เ ร า

ย - ย ก โ ท ษ ใ ห้ กั บ ข้ อ ผิ ด พ ล า ด ข อ ง เ ร า

ร - รั ก ที่ เ ร า เ ป็ น เ ร า

ล - ล ะ เ อี ย ด อ่ อ น กั บ ค ว า ม รู้ สึ ก ข อ ง เ ร า

ว - ไ ว้ ใ จ เ ร า

ศ - ศึ ก ษ า นิ สั ย ที่ แ ท้ จ ริ ง ข อ ง เ ร า

ส - สั ง เ ก ต ค ว า ม เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ใ น ตั ว เ ร า

ห - เ ห็ น คุ ณ ค่ า ข อ ง เ ร า

อ - อ ธิ บ า ย ใ น สิ่ ง ที่ เ ร า ไ ม่ เ ข้ า ใ จ

ฮ - เ ฮ ฮ า กั บ เ ร า ไ ด้ ทุ ก เ ว ล าตัวอักษรไทย 44 ตัว กับความหมายของคำว่าเพื่อน

http://blog.eduzones.com/friends/14028
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ FreedomZone หัวข้อ :อาบน้ำด้วยสบู่เหลว ตายเร็ว!!‏

อาบน้ำด้วยสบู่เหลว ตายเร็ว!!‏

ถ้าคุณชอบอาบน้ำด้วยสบู่เหลวละก้อ
ควรอ่านบทความนี้...
เดี๋ยวนี้สบู่เหลวได้รับ ความนิยมยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุผลของความสะดวกสบาย เป็นสำคัญ
แต่คุณรู้ไหมว่า สบู่เหลวที่เราใช้กันอยู่นั้นไม่ใช่สบู่
แต่เป็นสารเคมีล้วนๆ สบู่เหลวที่ดีจริงๆจะต้องมีส่วนผสมของเนื้อสบู่อย่างน้อย 25%
แล้วที่เหลือเป็นน้ำ แต่ความเป็นจริงแล้วไม่มีสบู่เหลวแบบนี้วางขายอยู่เลย
เพราะผลิตภัณฑ์เกือบทุกชนิดที่วางขายอยู่นั้น เป็นแค่ใช้สารซักฟอกหรือดีเทอเจน
ผสมกับสารเคมีสังเคราะห์ อื่นๆ แล้วทำให้อยู่ในรูปของเหลว
ซึ่งสารซักฟอก หรือดีเทอเจนก็คือสารเคมีหลัก ที่ใช้ในการผลิตแชมพู น้ำยาล้างจาน
น้ำยาทำความสะอาดพื้น หรือแม้แต่น้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำนั่นเอง
จะผิดกันก็แต่ว่าความเข้มข้นของสารซักฟอก ที่ใช้ทำสบู่เหลวมีความเจือจางกว่าเท่านั้น
ผล กระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สบู่เหลว คงไม่เกิดขึ้นในฉับพลันทันที
แต่จะสะสมเป็นปัญหาในระยะยาวได้ เพราะสารเคมีเหล่านี้จะแทรกซึมลงไปในผิวหนัง
อวัยวะ ภายใน และกระแสเลือดได้ทุกครั้งที่เราอาบน้ำ SLS หรือ โซเดียมลอริลซัลเฟต
เป็นตัวอย่างหนึ่งของสารเคมีหลักที่มักใช้ในสบู่ คุณลองไปพลิกพวกผลิตภัณฑ์ซักล้างทุกอย่างดู
จะเห็นส่วน ผสมนี้จริงๆ บางทีใช้ชื่อว่าลอริล) และเป็นสารเคมีอันตราย หลายประเทศในยุโรปและ
อเมริกามีกฏหมายห้ามใช้ แล้ว และบางประเทศก็จำกัด ให้มีการใช้น้อยลง แต่ในบ้านเรากลับใช้กัน
อย่างแพร่หลาย ทั้งๆที่ SLS เป็นสารเคมีที่ดูดซึมผ่านผิวหนังได้ ง่ายและรวดเร็ว
สามารถสะสมอยู่ในดวงตา สมอง หัวใจ ตับ และก่อปัญหาในระยะยาว
หากยิ่งมีการใช้ร่วมกับ สารประกอบตระกูลอามีน ก็จะกลายเป็นสารก่อมะเร็งในที่สุด
เพราะฉะนั้น เราอาจต้องถามตัวเองดูใหม่ ว่ามีความจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องใช้สบู่เหลว
ซึ่งจริงๆแล้วคือสารเคมีล้วนๆ แต่ถ้ายังคงต้องการที่จะใช้ การใช้สบู่เหลวสำหรับเด็กก็
จะดีกว่า ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย เพียงแต่มีสารเคมีเจือ จางกว่าเท่านั้น)
แต่ถ้าจะให้ดี การกลับไปใช้สบู่ก้อนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ข้อมูลจากวารสารเกษตรกรรมธรรมชาติ
กิตสุนี รุจิชานันทกุล
มูลนิธิ โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ 413/38
ถ.อรุณ อัมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10700 โทร. 02-424-5768



ขอบคุนเมล์ครูวันทนาครับ
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ FreedomZone หัวข้อ :อาการของคนขาดวิตามินซี

อาการของคนขาดวิตามินซี



ทราบหรือไม่ว่าอาการแบบไหนที่เรียกว่ากำลังขาดวิตามินซี

- อาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มีเลือดออกตามไรฟัน โดยเฉพาะเวลาแปรงฟัน เป็นหวัดง่าย และเป็นบ่อยๆ หายแล้วก็เป็นอีก เพราะภูมิต้านทานต่ำ เนื่องจากวิตามินซีเป็นสารอาหารในการเสริมภูมิต้านทานของร่างกาย

- เมื่อปล่อยให้ขาดวิตามินซีไปนานๆ ก็จะแสดงอาการออกทางกล้ามเนื้อ ผิวหนัง และเส้นเลือด เช่น เจ็บกล้ามเนื้อ อ่อนแรง เส้นเลือดไม่แข็งแรง เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังแตกง่าย ผิวช้ำง่าย ปากแห้ง ผิวแห้ง

- ถ้าเป็นแผลจะหายช้า และอาจนำมาซึ่งปัญหาโรคข้อกระดูก โรคหลอดเลือด และโรคหัวใจ ในกรณีที่ขาดวิตามินซีเป็นเวลายาวนาน

รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมดูแลตัวเองไม่ให้ขาดวิตามินซี เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง.

http://variety.teenee.com/foodforbrain/28345.html